หน้าฝนต้องระวัง โรคผื่นกุหลาบ เป็นตอนท้องอันตราย !!!
กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคผิวหนัง แนะนำโรคผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังที่มีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส พบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน เป็นโรคไม่ติดต่อที่มีอาการเฉียบพลัน สามารถหายเองได้ มักเกิดในวัยหนุ่มสาว อายุ 10 ถึง 35 ปี พบไม่บ่อยในเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคผื่นกุหลาบเป็นโรคผิวหนังมีอาการเฉียบพลัน ยังไม่มีสาเหตุแน่ชัด พบมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส ผื่นมีลักษณะเฉพาะ รูปร่างกลมหรือรี มีการกระจายเป็นแนวตามร่องบนผิว คล้ายกับลักษณะของต้นสน โรคนี้ส่วนใหญ่เกิดในคนอายุน้อย โดยเฉพาะช่วงอายุ 10-35 ปี พบได้ในทุกเชื้อชาติ และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในอัตรา 2:1 ผื่นมักเกิดอยู่นานประมาณ 6-8 สัปดาห์แล้วหายได้เอง แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจเป็นนานถึง 5 เดือนหรือมากกว่า

การวินิจฉัยแยกกับผื่นผิวหนังอักเสบอื่นๆ มีรายงานว่า การเกิดผื่นกุหลาบในผู้ป่วยตั้งครรภ์ เป็นความเสี่ยงทำให้เกิดการแท้งได้ โดยเฉพาะช่วง 15 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผื่นแรกมักเกิดขึ้นบริเวณลำตัวและมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งอาจพบบริเวณคอ หรือ แขนขาส่วนบนได้ โดยมักจะเกิดนำผื่นอื่นๆ เป็นชั่วโมงหรือวัน ลักษณะเป็นผื่นเป็นสีชมพู สีแซลม่อน หรือสีน้ำตาล อาจจะมีขอบยกเล็กน้อย ขนาดประมาณ 2-4 เซนติเมตร แต่บางกรณีอาจมีขนาด 1 เซนติเมตร หรือใหญ่ถึง 10 เซนติเมตร ตรงกลางของผื่นมีขุยขนาดเล็ก ขอบขยายใหญ่ขึ้น
ประมาณ 5%ของคนไข้มีอาการนำมาก่อน เช่น ปวดหัว มีไข้ ปวดข้อ และปวดเมื่อย อาจพบตุ่มหนองเล็กๆ ในช่วงแรกของโรค มักไม่พบผื่นบริเวณหน้า มือและเท้า อาการคันในโรคผื่นกุหลาบพบได้ประมาณ 25%
ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ผื่นกุหลาบมักไม่มีอาการแสดงและสามารถหายได้เอง โดยไม่ทิ้งร่องรอย การรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก การใช้ครีมชุ่มชื้นผิวที่เหมาะสม ร่วมกับยาทาสเตียรอยด์ หรือ ยากินในกลุ่ม antihistamines สามารถช่วยลดอาการคันได้ แต่ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง การรับประทานยาในกลุ่มสเตียรอยด์ช่วงสั้นๆ การฉายแสง UVB (Narrowband or broadband) สามารถช่วยควบคุมโรคได้

ดูแลตัวเองอย่างไรจากโรคผื่นกุหลาบ
แม้โรคผื่นกุหลาบจะเป็นโรคที่สามารถหายได้เอง แต่สำหรับแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้นไม่ควรมองข้ามเพื่อดูแลตัวเองไม่ให้เป็นโรคนี้ขึ้นมาได้โดยเฉพาะในช่วง 15 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรคผื่นกุหลาบได้ และแพทย์จะให้การรักษาตามอาการเป็นหลัก สำหรับผู้ป่วยทั่วไปในรายที่เป็นไม่มากอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา เพียงแต่รอเวลาให้ผื่นหายเองภายใน 6-8 สัปดาห์ ดังนั้นการดูแลเบื้องต้นในขณะเป็นผื่น อาทิเช่น

หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนังและโรคมีอาการกำเริบ เช่น หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพอากาศร้อนอบอ้าว เพราะการมีเหงื่อออกมากอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น หลีกเลี่ยงการถูกน้ำ เป็นต้น

หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนจัด เพราะสามารถกระตุ้นให้ผื่นเห่อขึ้นได้ และหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ควรใช้สบู่อ่อน ๆ เช่น สบู่เด็กหรือสบู่เหลว

สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากเนื้อผ้าสบาย ๆ เช่น ผ้าฝ้าย เพื่อช่วยระบายความร้อนให้ผิวได้สัมผัสแสงแดดบ้าง จะช่วยให้ผื่นไม่ขึ้นมากและหายเร็ว

หากมีอาการคัน ยาแก้ผดผื่นคัน เช่น คาลาไมน์โลชั่น ยาทาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์สำหรับแม่ท้องนั้นควรทาได้เป็นครั้งคราวและควรใช้ในปริมาณน้อย หากมีอาการคันมาก หรือมีความกังวลใจในอาการควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงจากยาได้ง่าย

พักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียด
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เป็นโรคผื่นกุหลาบโอกาสจะกลับมาเป็นโรคซ้ำอีกพบได้น้อยมาก ๆ เนื่องจากโรคนี้เป็นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันไว้ถาวร ทั้งนี้หากดูแลตัวเองในขั้นต้นแล้วยังมีผื่นแพร่กระจายจำนวนมาก หรือผู้ป่วยมีอาการคันรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรไปพบแพทย์เพื่อหาแนวทางในการดูแลรักษาต่อไป
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : กรมการเเพทย์, amarinbabyandkids